น้ำมันเครื่องเรื่องสำคัญ
ที่คนใช้รถต้องรู้

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นเรื่องที่ผู้ใช้รถต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อการทำงานและอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ การเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมและการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามเวลาที่กำหนด จะช่วยให้รถของคุณทำงานได้อย่างราบรื่นและลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ ในบทความนี้คุ้มภัยโตเกียวมารีนจะมาแนะนำประเภทต่างๆ ของน้ำมันเครื่อง เพื่อให้รถของคุณได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง

ทำไมน้ำมันเครื่องจึงสำคัญ

น้ำมันเครื่องคือสารหล่อลื่นที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดการเสียดสีระหว่างชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ในการระบายความร้อน ลดการสะสมของสิ่งสกปรก และช่วยป้องกันการเกิดสนิมและการกัดกร่อนภายในเครื่องยนต์ และยังมีคุณสมบัติในการจับตะกอนหรือสิ่งสกปรกภายในเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันไม่ให้คราบสกปรกสะสมและส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ

หากคุณไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามกำหนด อาจทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหาย การเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับประเภทของรถ และเปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนด ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานและประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ได้อีกด้วย

ประเภทของน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่องสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ น้ำมันเครื่องธรรมดา (Mineral Oil), น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic Oil) และน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Full Synthetic Oil) แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและข้อดีที่แตกต่างกัน ดังนี้

น้ำมันเครื่องธรรมดา (Mineral Oil)

น้ำมันเครื่องธรรมดามีความหนืดที่น้อยที่สุด และเสื่อมสภาพเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันเครื่องประเภทอื่น โดยปกติแล้วควรเปลี่ยนทุก 4,000 - 5,000 กิโลเมตร หรือทุก 4 - 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานของรถ หากใช้รถในสภาพที่มีการใช้งานหนักหรือเจออุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องบ่อยขึ้น

ข้อแนะนำ: น้ำมันเครื่องธรรมดาเหมาะสำหรับรถที่ใช้งานไม่หนัก เช่น ขับในเมืองหรือขับทางใกล้ๆ และไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือมีสภาวะการใช้งานหนัก

น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic Oil)

น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์มีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นดีกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดา และมีความทนทานต่อสภาพการใช้งานที่หนักกว่า โดยปกติแล้วควรเปลี่ยนทุก 7,000 - 8,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 - 8 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพการขับขี่ หากคุณขับรถในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือสภาวะที่ต้องการกำลังเครื่องยนต์มาก น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์จะสามารถช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้ดีกว่า

ข้อแนะนำ: น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์เหมาะสำหรับรถที่ใช้งานประจำวัน ทั้งในเมืองและขับทางไกล

น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Full Synthetic Oil)

น้ำมันเครื่องสังเคราะห์เป็นน้ำมันที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและทนทานต่อการใช้งานหนักที่สุด สามารถคงสภาพได้ดีในทุกสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในอุณหภูมิที่สูงหรือต่ำมาก น้ำมันเครื่องประเภทนี้มีอายุการใช้งานนานกว่าประเภทอื่น โดยสามารถใช้งานได้ถึง 10,000 - 15,000 กิโลเมตร หรือทุก 12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน

ข้อแนะนำ: น้ำมันเครื่องสังเคราะห์เหมาะสำหรับรถที่ใช้งานหนักหรือเครื่องยนต์ที่ต้องการการปกป้องพิเศษ เช่น รถที่ใช้ความเร็วสูง รถที่วิ่งระยะทางไกลบ่อยๆ หรือรถยนต์สมรรถนะสูง

วิธีเลือกน้ำมันเครื่องให้เหมาะกับรถของคุณ

การเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับรถของคุณ ควรคำนึงถึงประเภทของเครื่องยนต์ สภาพการใช้งาน และคำแนะนำจากผู้ผลิตรถยนต์ รถที่ใช้งานทั่วไปหรือไม่ได้ใช้แรงเครื่องยนต์มากอาจใช้เพียงน้ำมันเครื่องธรรมดาหรือกึ่งสังเคราะห์ แต่หากเป็นรถที่ใช้งานหนัก ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์เพื่อความคุ้มค่าในระยะยาว

ตรวจสอบคำแนะนำจากคู่มือรถ

ผู้ผลิตรถยนต์มักระบุประเภทของน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมไว้ในคู่มือการใช้รถเสมอ ซึ่งจะบอกถึงความหนืดของน้ำมัน (Viscosity) ที่เหมาะสม เช่น 5W-30, 10W-40 เป็นต้น

พิจารณาสภาพการใช้งานของรถ

หากคุณขับรถในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเป็นพิเศษ หรือรถของคุณเป็นรถที่ใช้ขนส่งสินค้าหนัก อาจจะต้องเลือกใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ทนต่อการทำงานหนักและมีเสถียรภาพสูงกว่า

สัญญาณที่บอกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามเวลาที่กำหนดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยรักษาสภาพเครื่องยนต์ แต่บางครั้งอาจมีสัญญาณบอกว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนกำหนดได้ ดังนี้

1.เสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้น: หากคุณเริ่มได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นหรือเสียงเหมือนเครื่องยนต์ทำงานไม่ราบรื่นเหมือนเคย อาจเป็นสัญญาณว่าความสามารถในการหล่อลื่นของน้ำมันเครื่องลดลงแล้ว

2.น้ำมันเครื่องมีสีดำเข้ม: น้ำมันเครื่องที่ดีควรมีสีอำพันใส แต่ถ้าพบว่าน้ำมันเครื่องเริ่มมีสีดำเข้ม อาจเป็นสัญญาณว่ามันถูกใช้งานหนักจนถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยน

3.ไฟเตือนน้ำมันเครื่องขึ้น: ไฟเตือนบนหน้าปัดที่เกี่ยวกับน้ำมันเครื่องเป็นสัญญาณที่ไม่ควรละเลย เพราะมันบ่งบอกถึงความผิดปกติภายในเครื่องยนต์ หรือระดับน้ำมันเครื่องที่ต่ำเกินไป

วิธีตรวจสอบน้ำมันเครื่องด้วยตัวเอง

1.ดับเครื่องยนต์และรอให้เครื่องเย็นลง: ก่อนที่จะตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง ควรดับเครื่องยนต์และรอให้เครื่องเย็นลงก่อนประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องตกลงสู่ถังและให้ได้ค่าที่ถูกต้อง

2.ดึงก้านวัดระดับน้ำมัน: เปิดฝากระโปรงรถยนต์แล้วดึงก้านวัดระดับน้ำมันออกมา จากนั้นเช็ดก้านวัดให้สะอาดด้วยผ้าแห้ง แล้วใส่ก้านกลับไปที่เดิม

3.ตรวจสอบระดับน้ำมัน: ดึงก้านวัดออกมาอีกครั้ง แล้วดูว่าระดับน้ำมันอยู่ระหว่างขีดขั้นต่ำและขีดสูงสุดหรือไม่ หากน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับต่ำเกินไปควรเติมเพิ่ม

4.ตรวจสอบสีของน้ำมันเครื่อง: น้ำมันเครื่องที่ยังดีควรมีสีใสและออกน้ำตาล หากน้ำมันเครื่องมีสีดำหรือขุ่น อาจหมายถึงน้ำมันเครื่องเริ่มเสื่อมสภาพและควรเปลี่ยนถ่ายใหม่ทันที

การเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง

นอกจากการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว การเปลี่ยนไส้กรองก็เป็นเรื่องสำคัญ ไส้กรองน้ำมันเครื่องทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกและคราบโลหะที่เกิดจากการทำงานของเครื่องยนต์ หากไส้กรองน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพหรืออุดตัน จะทำให้น้ำมันเครื่องไม่สามารถหมุนเวียนได้อย่างเต็มที่และอาจทำให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่แล้วหากเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามร้าน ที่ร้านก็จะแนะนำให้เปลี่ยนไส้กรองควบคู่กันไปด้วยอยู่แล้ว